ยินดีต้อนรับ สู่ บล็อก "A little Thai Chef" ค่ะ

ขอให้ทุกคนมีความสุข ในการทำอาหาร เพื่อตัวคุณเอง และคนที่คุณรักนะคะ ^_^

วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ แสนอร่อย


ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์
ฉันได้ไปลองทานเมนูนี้ตอนที่ไปเรียนภาษาที่แวนคูเวอร์ประเทศแคนาดา เมนูนี้เป็นที่นิยมมากในหมู่ชาวต่างชาติ ฉันคิดว่าคงเป็นเพราะรสชาดที่เปรี้ยว เค็ม หวาน กำลังดี และก็ไม่เผ็ด ทำให้เป็นที่ถูกอกถูกใจ ชาวต่างชาติ ที่ไม่ทานรสจัดอย่างบ้านเรา พอทำเมนูนี้ได้เอง ยิ่งรู้สึกชอบทานอาหารจานนี้มากขึ้นไปอีก
แปลกใจตัวเองมากๆ ที่ไม่เคยสั่งทานตอนอยู่เมืองไทยเลย อาจเป็นเพราะเรามีอาหารให้เลือกทานมากมาย และเราก็ชอบรสที่จัดจ้านหน่อย ทำให้ไม่เคยนึกถึงเมนูนี้ ซึ่งจริงๆแล้วก็อร่อยมากทีเดียว

ตอนที่ทานอยู่ที่ร้านอาหารไทยแห่งหนึ่ง ที่แวนคูเวอร์ หน้าตาอาหารต่างจากนี้มากมาย พอไปเรียน ก็นึกแปลกใจ และรู้สึกดีใจ ที่ได้เห็นหน้าตาอาหารไทยที่แท้จริง มันเป็นอย่างนี้นี่เอง บางครั้งทำให้รู้สึกเสียใจแทนชาวต่างชาตินิดหน่อย ที่เขาไม่ได้ชิม อาหารไทยที่แท้จริง

มาลงมือทำกันดีกว่าค่ะ อาหารจานนี้ไม่ยาก แถมหน้าตาสวย และก็อร่อยมากๆ ด้วย ไปทำกันเลยค่ะ

  
จำนวนที่เสิร์ฟ 2 ที่

ส่วนผสม

เนื้ออกไก่หั่นสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ ขนาด 3/4 X 3/4 นิ้ว                200                    กรัม
แป้งข้าวโพด                                                                             30                    กรัม
กระเทียมสับละเอียด                                                                   2                    ช้อนชา
เม็ดมะม่วงหิมพานต์                                                               100                     กรัม
พริกแห้งเม็ดใหญ่หั่นท่อน ขนาด 1/2 นิ้ว                                    3                     เม็ด
หอมใหญ่หั่นลูกบาศก์ขนาด 1 นิ้ว                                           1/2                      หัว
ต้นหอมหั่นขนาด       1 นิ้ว                                                         1                      ต้น
น้ำปลา                                                                                       1                    ช้อนชา
น้ำตาลทราย                                                                              1                    ช้อนชา
ซอสมะเขือเทศ                                                                         3                     ช้อนโต๊ะ
ซอสพริก                                                                                   1                     ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น                                                                           1/4                      ช้อนชา
น้ำมันพืชสำหรับผัด                                                                  2                      ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืชสำหรับทอด                                                            1/2                      ลิตร

การเตรียม

  1.  ทอดพริกแห้งให้กรอบ พักไว้

2.    ทอดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ให้สุกเหลือง แล้วพักไว้

3.   คลุกไก่กับแป้งข้าวโพด


4.   แล้วทอดให้สุกเหลือง แล้วพักไว้

5.    ผสมซอสมะเขือเทศ ซอสพริก น้ำปลา น้ำตาลทราย และพริกไทยป่นเข้าด้วยกันให้เป็นซอส

วิธีทำ



  1. ผัดกระเทียมกับน้ำมันพอหอม

2.     ใส่หอมใหญ่ผัด

3.     ปรุงรสด้วยน้ำปรุงรสที่เตรียมไว้ ผัดพอเข้ากัน น้ำปรุงรสมีลักษณะเหนียวเล็กน้อย

4.     ใส่ไก่ที่ทอดเตรียมไว้ลงไป

5.     ใส่เม็ดมะม่วงหิมพานต์


6.     พริกแห้งทอดกรอบลงไปเคล้าให้เข้ากันปิดไฟ

7.     ใส่ต้นหอมเคล้า พอเข้ากัน


8.     ตกแต่งด้วยผักชี จัดเสิร์ฟร้อนๆ


ลักษณะอาหาร

ไม่ปรากฏน้ำปรุงรส เพราะน้ำซอสจะเคลือบที่ตัววัตถุดิบ รสหวานนำเค็ม วัตถุดิบทอดต้องกรอบไม่นิ่ม หรือเหนียว ต้นหอมสดสีเขียวไม่เหี่ยว

ข้อแนะนำ
  1. พริกแห้งให้ระวังในการทอดเพราะพริกไหม้ง่าย เมื่อไหม้จะมีรสขมรับประทานไม่ได้
  2. ต้นหอมไม่ควรผัดนานเพราะจะเหี่ยวนิ่มไม่น่ารับประทาน

วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ต้มข่าไก่ ความอร่อยตามต้นตำรับ


ต้มข่าไก่ ที่พยายามจัดให้สวยค่ะ

ก่อนที่จะเรียนทำอาหาร ฉันเคยคิดว่า ต้มข่าไก่เนี่ย คงจะทำยากเหมือนกันนะ เพราะต้องใส่อะไรตั้งหลายอย่าง แต่พอได้ลงมือทำจริงๆ มันก็ไม่ยากเลย เพียงแต่ต้องรู้จังหวะว่าจะต้องใส่อะไรตอนไหน ก็จะทำให้ต้มข่า ดูน่าทาน และอร่อยมากยิ่งขึ้น อาหารไทย ต้องใช้ความละเอียด และใส่ใจ จึงจะได้รสชาดที่อร่อยถูกปากมากๆ และหน้าตาสวยงาม ฉันคิดว่า คงไม่มีใครหรอก ที่คิดว่า "ขอให้อร่อย หน้าตาอาหารจะเลอะเทอะอย่างไงก็ได้" ฉันเป็นคนแรก ที่ต้องให้อาหารดูหน้าทาน ถึงจะเลือกรับประทาน แต่ว่า ถ้ามันไม่อร่อย อย่างน้อย ก็สบายตาล่ะนะ

จำนวนที่เสิร์ฟ 2 ที่

ส่วนผสม

เนื้อไก่หั่น                         200 กรัม



เนื้อไก่หั่นเป็นชิ้นพอคำ
 
เห็ดฟาง                             80 กรัม

เห็ดฟาง

ตะไคร้หั่นแฉลบ                     1 ต้น
ใบมะกรูดฉีก                          2 ใบ
ข่าหั่นเป็นแว่นๆ                    10 กรัม
พริกขี้หนูสวนเด็ดขั้วบุบ        10 เม็ด
ผักชีเด็ดช่อ                           1 ต้น
รากผักชี                                2 ราก


เครื่องสมุนไพร ที่มีประโยชน์ทั้งหลาย

กะทิ                                    1    ถ้วย
น้ำต้มกระดูก                    150    กรัม / 150 มล.
น้ำปลา                               3     ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว                            3     ช้อนโต๊ะ


กะทิ น้ำซุป น้ำปลา น้ำมะนาว
วิธีทำ
  1. ผสมน้ำต้มกระดูกกับกะทิตั้งไฟพอเดือด ใส่ข่า ตะไคร้ รากผักชี คนพอมีกลิ่นหอม
  2. ใส่เนื้อไก่ และเห็ดฟาง พอเนื้อไก่และเห็ดฟางสุก ใส่ใบมะกรูด และพริกขี้หนู ปรุงรสด้วยน้ำปลา ปิดไฟ ใส่น้ำมะนาว คนพอเข้ากัน
  3. ทุบพริกขี้หนูใส่ โรยด้วยผักชี จัดเสิร์ฟ
หมายเหตุ ทยอยใส่นำปลา และน้ำมะนาวทีละน้อย แล้วชิมรสว่าได้ตามที่ต้องการหรือไม่ เพราะบางครั้ง ความเค็มของน้ำปลาแต่ละยี่ห้อไม่เท่ากัน และ ความเปรี้ยวของมะนาวแต่ละผลก็ไม่เท่ากันค่ะ

ลักษณะอาหาร เป็นแกงซดน้ำสีขาวนวล รสเปรี้ยวเค็ม หวานจากกะทิ เผ็ดเล็กน้อย ไม่แตกมัน เนื้อไก่นุ่ม น้ำกะทิหอมกลิ่นข่านำ


ข้อแนะนำ
  1. การต้มน้ำต้มกระดูกให้ใส่โครงไก่ในน้ำก่อนนำขึ้นตั้งไฟ โดยเปิดไฟแรงจัดในครั้งแรกเพื่อไล่ตะกอนโปรตีน เมื่อตะกอนขึ้นให้หมั่นช้อนฟองออก เมื่อน้ำเดือดและช้อนฟองหมดจึงเบาไฟอ่อนเคี่ยวต่อเป็นเวลาประมาณ 30 นาที (ถ้าทำทานเองแบบง่ายๆ ใช้ซุปก้อนที่มีขายทั่วไปก็ได้ แต่ต้องประวังรสเค็ม ชิมก่อน ที่จะเติมน้ำปลาค่ะ
  2. ข่าที่นำมาใช้ควรเป็นข่าอ่อน เพราะรสชาติไม่ปร่า สีสวย เนื้อนิ่มทานได้

วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553

บัวลอยเผือกมะพร้าวอ่อน เพื่อ "น้อง หวาน หวาน"

            “น้อง หวาน หวาน” เป็นชื่อของน้องที่ทำงานคนหนึ่ง อันที่จริงเขาชื่อ น้ำหวาน แต่พักหลังๆ ไม่รู้ทำไป ใครๆ พากันเรียก น้องคนนี้ว่า “น้อง หวาน หวาน” เอาเป็นว่า เขาคือที่มาของเมนูขนมหวานอันนี้ล่ะค่ะ เพราะหลังจากที่ได้ชิม บัวลอยเผือกที่นำมาฝากจากที่โรงเรียนทำสอนอาหารราชภัฏสวนดุสิต หลังเลิกเรียนตอนเย็นวันหนึ่งแล้ว น้องคนนี้ก็ถามอยู่ตลอดว่า “เมื่อไหร่จะได้ทานอีกค่ะ พี่” กว่าน้องจะได้ทานตามคำเรียกร้องก็เรียกได้ว่า ต้องรอกันจนหายอยาก เพราะพี่คนนี้แทบจะไม่มีเวลาเลยสำหรับเมนูนี้  ดังนั้นเมื่อวันนี้มีเวลา ก็ต้องตั้งใจทำให้ “น้อง หวาน หวาน” อย่างสุดฝีมือกันเลยทีเดียว ไปลองดูหน้าตากันค่ะ ว่าน่าทานขนาดไหน อันนี้ขอรับประกันค่ะ ว่าสูตรนี้ อร่อย หวาน มัน เอ๊ย เผือก จริงๆ ค่ะ ^^




บัวลอยเผือก มะพร้าวอ่อน แสนอร่อย
 
อันดับแรกเราก็ต้องมาเตรียม ส่วนผสมกันก่อนนะคะ
สูตรนี้จะเหมาะสำหรับเสิร์ฟ 2 ที่ค่ะ

ส่วนผสม

เผือกสุกบดละเอียด                  200     กรัม ( ** วิธีการเตรียมเผือกบดค่ะ)

เผือกดิบหั่นลูกเต๋าเล็ก               50     กรัม (หรือปริมาณตามชอบ)

แป้งข้าวเหนียว                           50     กรัม

หางกะทิ                                    400     มล.
(คือการนำหัวกะทะ 200 มล. ผสมกับน้ำมะพร้าวอ่อน 200 มล. หรือน้ำดื่มธรรมดาก็ได้ค่ะ แต่ถ้าใช้น้ำมะพร้าวอ่อนจะหอมและรสชาดดีกว่าค่ะ)

น้ำตาลทราย                               90    กรัม

เกลือป่น                                    1/2    ช้อนชา

ใบเตย                                          2     ใบ

มะพร้าวอ่อน                                1      ลูก


มะพร้าวอ่อน



เฉาะฝาด้านบนออก
ให้เป็นลักษณะดังภาพ


  แยกน้ำมะพร้าวออก ตวงให้ได้ปริมาณที่ต้องการแล้ว ใส่ภาชนะแยกไว้เพื่อผสมกับหัวกะทิ ใช้ช้อนตัก
  เนื้อและนำมาตัดส่วนที่เป็นสีน้ำตาลออก แล้วนำมาหั่นเป็นเส้นๆ ดังภาพ


ใช้ช้อนตักเนื้อแยกไว้


หั่นส่วนที่เป็นสีน้ำตาลออกไป

หั่นเป็นเส้นเล็กๆ

ใส่ภาชนะพักไว้

*** วิธีการเตรียมเผือกบด
เลือกเผือกที่ไม่อ่อนหรือแก่มากไป

 
ปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นๆ นำไปนึ่ง

เมื่อเผือกสุก นำมาบดให้ละเอียด เตรียมผสมกับแป้ง

วิธีทำ

1.       ผสมเผือกบดกับแป้งข้าวเหนียวนวดให้เข้ากันจนเนียน โดยการคอยเติมน้ำอุ่นทีละ 1 ช้อนโต๊ะ และนวดไปเรื่อยๆ จนเนื้อแป้งและเผือกเข้ากันดี จนสามารถปั้นได้ บางคนจะชอบที่จะนวดให้เนื้อเข้ากันดี โดยนวดไปเลยทั้งก้อน แต่สำหรับตัวเราเอง แรงไม่ค่อยเยอะ จะใช้วิธีนวดทั้งก้อนให้เข้ากันพอประมาณ และแบ่งออกเป็นส่วนๆ มานวดอีกรอบจนเข้ากันดี เหนียวหนึบ หน่อยการนวดต้องใช้เวลาเพื่อให้เม็ดบัวลอยที่สุก มีลักษณะเหนียวนุ่ม  




เผือกที่ผสมกับแป้ง และนวดจนเข้ากัน

2.        นำไปปั้นเป็นเม็ดกลมๆ ขนาด ½  เซนติเมตร หรือตามชอบค่ะ ขณะปั้น ตั้งน้ำไว้ให้เดือดได้เลย
ปั้นเป็นเส้นยาวๆ

นำมาตัดให้ได้ขนาด

เมื่อนำมาปั้นจะได้ก้อนกลมที่มีขนาดใกล้เคียงกัน


3.       เมื่อน้ำเดือดแล้ว นำแป้งที่ปั้นไว้ลงต้ม พอเม็ดแป้งสุก จะลอยขึ้นมา แต่อย่าเพิ่งรีบตักขึ้น ให้รออีกซักพัก ประมาณ 5-10 นาทีแล้วแต่ว่าเม็ดใหญ่หรือเล็ก เพื่อให้เม็ดแป้งสุกแน่นอน เมื่อแน่ใจว่าสุกแล้ว ให้ตักขึ้นแช่น้ำเย็นไว้ค่ะ แล้วให้เทน้ำออกจนหมด แล้วพักทิ้งไว้



เม็ดแป้งที่ต้มสุกแล้ว แช่น้ำ


4.       นำเผือกที่หั่นเต๋าเล็กลงต้มจนสุก ตักขึ้นแล้วใส่ภาชนะ พักทิ้งไว้

เผือกที่เหลือนำมาหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ นำไปต้ม

5.    ผสมน้ำกะทิที่เตรียมไว้กับน้ำตาลทรายและเกลือป่นเล็กน้อย  คนให้เข้ากัน นำไปตั้งไฟใส่ใบเตยลงไป พยายามคนไว้ เพื่อไม่ให้กะทิแตกมันเป็นก้อน กะทิจะเนียนไม่เป็นลูกๆ เมื่อเดือดเล็กน้อย ให้ใส่เม็ดแป้งที่พักไว้ลงไป คนให้ให้กระจายตัว รอให้เดือดเล็กน้อย ใส่เผือกหั่นลูกเต๋าที่ต้มไว้ลงไป คนให้เขากันเล็กน้อย ปิดไฟ รอเสิร์ฟได้เลยค่ะ
        
 
      ลักษณะอาหาร
จะมีรสหวาน เค็มเล็กน้อย ตัวบัวลอยสีม่วงอ่อน เป็นก้อนกลมลักษณะเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดประมาณ 1 เซนติเมตร อยู่ในน้ำกะทิสีขาว ไม่แตกมัน
ข้อแนะนำ
1.       สามารถทำบัวลอยให้เป็นหลายสีได้โดยเปลี่ยน เผือกเป็นผักชนิดอื่นแทน ตัวอย่างผักที่ให้สีต่างๆ
·         สีเหลือง        ให้ใช้เนื้อฟักทองนึ่งสุกบดละเอียด
·         สีเขียว           ใช้น้ำคั้นใบเตย
·         สีน้ำเงิน          ใช้น้ำคั้น ดอกอัญชัน
·         สีส้ม               ใช้เนื้อแครอทต้มสุกบดละเอียด เป็นต้น

ขอให้มีความสุข กับ บัวลอยเผือกมะพร้าวอ่อน ฝีมือตนเองกันนะคะ 

วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สูตรผัดไทยแสนอร่อย ที่ทำทานเองได้ง่ายๆ


ผัดไทยกุ้งสด

            ผัดไทยเป็นอาหารที่ครอบครัวของฉันโปรดปรานมาก ตอนที่ฉันเป็นเด็ก พ่อชอบพาฉันกับน้องสาวอีกสองคนไปทานผัดไทย เจ้าประจำของเรา ตั้งแต่พ่อจากไป และพวกเราก็เติบโตขึ้น ยุ่งกันแต่เรื่องงาน เราสามคนพี่น้อง จึงไม่มีเวลาไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยนัก และเราก็เลยไม่เคยได้กินผัดไทยด้วยกันซักที แต่เป็นโชคดีของเราทั้งสามคน เพราะฉันได้ไปเรียนทำอาหาร และผัดไทย ก็เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ฉันตั้งใจทำมากๆ
      
        จนกระทั่งได้ไปทำทานกันที่บ้าน และน้องสาวคนเล็กของฉันก็ปลาบปลื้มใจมาก เธอบอกว่า มันเป็นผัดไทยที่อร่อยที่สุดในโลก เพราะมันทำให้เราสามคนได้อยู่รวมกันอีกครั้ง หลังจากไม่มีเวลาแบบนี้มาเนิ่นนาน (รสชาดอาหารอาจจะไม่อร่อยที่สุดในโลก แต่ความสุข ยิ่งกว่าการได้ทานผัดไทย คือการได้อยู่ร่วมกัน)
           สูตรนี้ได้มาจากการไปเรียนที่โรงเรียนการอาหารนานาชาติสวนดุสิต ฉันชอบสูตรนี้ เพราะมีรสเปรี้ยว เค็ม หวาน อยู่ในตัว และก็ มีรสเผ็ดเล็กน้อย ทำให้ไม่เลี่ยน และบางคนก็ไม่ต้องปรุงพริกเพิ่ม สูตรนี้จะสอนให้เราปรุงน้ำซอสไว้ก่อน เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะผัดกี่จาน รสชาติก็จะเหมือนเดิม ทุกจาน (ฉันชอบมากตรงนี้แหละ เพราะทุกคนจะได้ความอร่อยเท่าๆกัน)
เอาล่ะ เรามาดูวิธีการเตรียม และวิธีการปรุงกันเลยดีกว่านะ
ผัดไทย

จำนวนที่เสิร์ฟ 2 ที่


ส่วนผสมน้ำปรุงรส


ส่วนผสมน้ำปรุงรส


  • น้ำตาลปีบ                  60 กรัม
  • น้ำปลา                      40 กรัม
  • น้ำมะขามเปียก             45 กรัม
  • พริกป่น                      1 ½ ช้อนชา

หมายเหตุ
การทำน้ำปรุงรส ไม่ต้องตามสูตรนี้แป๊ะก็ได้ ให้ลองชิมดู ถ้ายังไม่ถูกใจก็เพิ่มส่วนต่างๆได้ตามชอบ ตอนที่เราทำไม่ได้มีเครื่องชั่งตวงที่บ้าน อาศัยประสบการณ์ กะๆเอา แล้วก็ชิมว่ารสชาติถูกใจไหม ถ้าถูกใจก็เป็นอันว่าใช้ได้ แต่สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้ทำอาหารแนะนำให้ชั่งตวงดีกว่าค่ะ

ส่วนผสมผัดไทย


ส่วนผสมผัดไทย

                                                    
  • เส้นจันทร์อบแห้ง    130 กรัม
  • ถั่วงอกเด็ดหาง      160 กรัม (จะไม่เด็ดหางก็ได้ค่ะ เพียงแต่หาซื้อที่หางมันสั้นๆ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเด็ด รอบแรกเรามัวแต่มานั่งเด็ด โดนน้องแซวเลยว่า วันนี้จะได้กินไหม ฮ่ะๆๆๆๆ )
  • เต้าหู้แข็งหั่นก้านไม้ขีด                80 กรัม
  • ใบกุยช่ายหั่นท่อนขนาด   1 นิ้ว      20  กรัม
  • หัวผักกาดเค็มสับ                       30  กรัม
  • ถั่วลิสงคั่ว บดหยาบ                    30  กรัม
  • กุ้งแห้งจืด                                20  กรัม
  • ไข่ไก่                                       2  ฟอง
  • หอมแดงสับละเอียด                      2  หัว
  •  น้ำมัน                                     60  กรัม
  • น้ำเปล่าหรือน้ำต้มกระดูก เล็กน้อย
  • กุ้งแม่น้ำทำความสะอาด แกะเปลือกผ่าหลัง  250  กรัม

กุ้งสด
***ดูวิธีการทำได้ที่ด้านล่างค่ะ

  • หัวปลีลอกกาบผ่าเสี้ยว
  • ใบบัวบกมัดช่อ สำหรับเป็นเครื่องเคียง
  • ถั่วงอกเด็ดหาง
  • มะนาวหั่นเป็นชิ้น

ผักเคียงของผัดไทย


วิธีทำ
  1. แช่เส้นจันทร์อบแห้งนน้ำประมาณ 15 นาที (หรือจนเส้นนิ่ม)
  2. พอแช่เส้นแล้ว เราก็มาทำน้ำซอสกัน วิธีการก็คือ เอาส่วนผสมของน้ำซอสทั้งหมด มาผสมรวมกันแล้วตั้งไฟ เคี่ยวพอเข้ากัน ทิ้งให้เดือดหนึ่งเดือด แล้วค่อยยกลง พักไว้
ลักษณะน้ำซอส

3. ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันเล็กน้อย เปิดไฟปานกลาง พอน้ำมันเริ่มร้อน ให้นำกุ้งแม่น้ำลงทอด พอกุ้งสุก ปิด  ไฟ ตักขึ้น แล้วราดด้วยน้ำซอสผัดไทย ให้ฉ่ำๆพอประมาณ
กุ้งทอดราดน้ำซอส


4.  ตักน้ำมันออก เหลือไว้เล็กน้อยสำหรับผัด เปิดไฟอ่อนๆ ใส่เต้าหู้ลงผัดไม่ต้องรอน้ำมันร้อนค่ะ (เพราะจะไหม้ก่อน) 
ผัดเต้าหู้พอตึงๆ

5. พอเต้าหู้ตึงๆตัว ให้ใส่หอมแดงสับก็หัวผักกาดเค็มได้เลย ผัดไปด้วยกันจนได้กลิ่นหอมๆของ หอมแดง

    ใส่หอมแดงและผักกาดเค็มสับ
6.ใส่เส้นจันทร์ที่แช่น้ำลงในกระทะ ผัดจนเส้นอ่อนตัวนิ่ม ราดซอสผัดไทยบนเส้นจันทร์ผัดให้เข้ากัน





7. เมื่อเข้ากันแล้ว ให้เกลี่ยเส้นไปไว้ส่วนบนของกระทะ เพื่อจะได้มีที่ว่างตรงกลางกระทะ ให้ใส่น้ำมันเล็กน้อย ต่อยไข่ใส่ ยีไข่เล็กน้อย ให้ไข่แดงกระจายไปทั่วๆ (จะได้สีสวยค่ะ)


ใส่ไข่ กระจายไข่แดงให้ทั่ว

8.พอไข่เกือบสุก ก็ตลบเส้นมาทับ ใส่ถั่วลิสงคั่วป่น (ถ้าชอบ ถ้าไม่ชอบยังไม่ต้องใส่ค่ะ) กุ้งแห้ง, ถั่งงอก, ใบกุยช่ายที่ตรียมไว้ ผัดให้เข้ากัน เปิดไฟแรงและผัดให้เร็วหนึ่งครั้ง แล้วปิดไฟ เป็นอันเรียบร้อย น่ารับประทาน

พลิกเส้นมากลบไข่


ผัดให้เข้ากัน



ใส่ถั่วงอก ใบกุยช่าย และกุ้งแห้ง

9.ตักใส่จานเสิร์ฟกับมะนาว ถั่วงอก ใบกุยช่าย และหัวปลี

ลักษณะอาหาร
เส้นก๋วยเตี๋ยวสีน้ำตาลเส้นยาวนุ่มเหนียวไม่ขาด ไม่เกาะกันเป็นก้อน รสเค็ม หวาน เปรี้ยว เผ็ดเล็กน้อย (หรือมาก แล้วแต่ชอบ) มีส่วนผสมกระจายโดยทั่ว มีกลิ่นหอมของหอมผัด และหัวผักกาดเค็ม

ข้อแนะนำ
  1. เส้นเล็กที่ใช้ผัดมีหลายประเภทค่ะ บางชนิดอาจไม่ต้องแช่น้ำ บางชนิดแช่น้ำประมาณ 5-10 นาที บางชนิด 30 นาที หรือมากกว่า ให้สังเกตดูนะคะ
  2. ผักที่นำมาใช้ ก็ควรให้สะเด็ดน้ำก่อน รสชาติจะได้ไม่เปลี่ยนค่ะ
  3. การผัดเส้น ไม่ควรสับเส้นนะคะ เพราะจะทำให้เส้นเละไม่สวย ทางที่ดี ควรใช้สันตะหลับในการผัดค่ะ เพราะเส้นจะไม่ขาด วิธีการก็คือตะแคงตะหลิว แล้วก็วนไปมาให้เส้นกับเครื่องอื่นๆ ผสมเข้าด้วยกันค่ะ
*** วิธีการทำกุ้งสด


ผ่าหลังจนทะลุ


ม้วนหางให้โผล่บริเวณที่ผ่า


ตลบหางขึ้นมาจนได้ลักษณะดังภาพ

ไม่ว่าหน้าตาอาหารของเราจะออกมาเป็นอย่างไร ก็คือสิ่งที่เราได้ตั้งใจทำ และมีความสุขที่ได้ทำ ทำรอบแรกอาจจะไม่ดี ก็ขอให้ลองหลายๆรอบ ต้องมีซักรอบที่แสนจะอร่อย และสวยงาม ทักษะที่ดีเกิดจากการทำบ่อยๆนะคะ มีความสุขกับอาหารฝึมือตัวเอง และเผื่อแผ่ให้คนข้างๆชิมด้วยนะคะ


อาจารย์ของฉันท่านหนึ่งชอบบอกว่า "ถ้าอร่อยก็เก็บไว้กินเองซิ" ^_^